วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

หมึกอวบอ้วน



อยากรู้ว่าถ้าคุณอยู่หลังกล้องตอนที่กำลังเล็งเจ้าหมึกตัววบๆตัวนี้ผ่านกล้อง คุณจะคิดอะไรอยู่ ที่เกิดเหตุเกาะตาชัย พังงา

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555

เจ้าเหมียว ติดเกาะ

 ออกปฏิบัติภารกิจของชมรมคนตื่นเช้าอยู่ริมฝั่งทะเลอันดามันซึ่งอยู่ในช่วงฤดูมรสุม แสงแดดที่เคยจ้าจางหายไป แทนที่ด้วยเมฆและฝน   พร้อมกับคลื่นและลมที่แรงได้ทุกเมื่อ ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศเบนเข็มทิศสู่เส้นทางอื่น ขณะที่ยืนรอพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ไม่ได้มีผมเพียงคนคนเดียวที่อาบแสงสีทองของวันใหม่




เจ้าเหมียวสีเทาตัวนี้เหมือนจะมีความรู้สึกคล้ายกัน ที่มองไปทางไหนไม่ยักจะเห็นพี่น้องที่คลานตามกันมาอยู่ใกล้ๆ คอยเป็นเพื่อนเล่นให้ยืดเส้นยืดสายกันบ้าง เลยหันมาทำเนียนเข้ามาเคล้าคลอตีสนิท ถ้าเป็นดาราถือว่าเล่นดีตีบทแตก ก็มันกระโดดขึ้นตักคนแปลกหน้าที่ผ่านเข้ามาในที่แห่งนี้ และยึดเป็นที่นอนอุ่นๆ โดยวิสาสะ


เหมือนหน้าที่แกมบังคับ จำต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงแมวมือใหม่ คอยเกาคางกล่อมให้หลับตาพริ้มอยู่ใกล้ๆ คล้ายกับเพื่อนที่คุ้นเคยกันมานาน  พยายามถามหาชื่อจากผู้ดูแลบ้านแต่ก็ไม่ได้คำตอบ ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี นึกอย่างไรก็นึกคำดีๆ โดนๆ ไม่สำเร็จ เลยใช้ความรู้สึกและสถานการณ์ของตัวเองตั้งเป็นชื่อชั่วคราวให้เจ้าเหมียวว่า "ติดเกาะ"

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

แบบว่าต้องโดน


3-4 นาที ที่น่าลองสักครั้งกับการกระโดดร่ม แต่ลงทุนสูงพอๆกับความสูงที่กระโจนออกมาทีเดียว :-p



ทีซอแม ของดีที่ ท่าสองยาง


 เก็บข้าวเก็บของลงจาก ม่อนคลุย หมอกขาวๆ ยังคงลอยนิ่งรวมตัวกันอย่างหนาแน่นท้าแสงแดดในหุบเขาเบื้องหน้า พวกเรากำลังมุ่งหน้าสู่ที่ทำการ อบต.ท่าสองยาง ยังคงวนเวียนตามแหล่งท่องเที่ยวที่ยังไม่ได้เปิดตัวอีกแห่งหนึ่ง คือ “ถ้ำทีซอแม”  ซึ่งอยู่ริมทางหลวง สายแม่เสรียง-แม่สอด ใน อ.ท่าสองยาง จ.ตาก 


รถชะลอความเร็วจนจอดนิ่ง เพื่อรอสมาชิกให้มากันพร้อมหน้าพร้อมตา ในบริเวณที่ไม่น่าจะเป็นจุดที่มีความน่าสนใจซ่อนอยู่ จนเกือบจะตัดสินใจนอนรอที่รถซะแล้ว แดดแรงในช่วงก่อนเที่ยงทำให้ต้องหาที่หลบแดดใต้ร่มเงาที่พอจะหาได้ ดอกหญ้าริมทางโอนเอนตามสายลมที่พัดมาตามช่องเขา ทำให้การรอคอยดูสบายตาตามไปด้วย


หลังจากทุกคนเดินทางมาถึงโดยพร้อมเพรียงกัน พี่ดุลกับพี่ดอย เจ้าหน้าที่ อบต.ท่าสองยางก็พาเราข้ามถนน ชะโงกลงไปก็เห็นลำธารสายเล็กๆ ที่อยู่ต่ำลงไปซัก 2-3 เมตร  ไหลเลียบไหล่ทางที่เต็มไปด้วยหินก้อน ก่อนโค้งหายไปในเงาไม้ ช่วงแรกๆก็ยังจดๆ จ้องๆ ดูไลน์ ซึ่งสงสัยจะติดมาจากการดูกอล์ฟกูรูมากเกินไป ว่าจะเดินเส้นไหนจะไม่เปียก แต่สุดท้ายก็เดินลงน้ำไปกับผ้าใบคู่เก่งที่สะสมร่องรอยจากหลายสถานการณ์ ทั้งสนุกสนานและน่าหวาดเสียว เดินลุยน้ำตื้นๆ ปริ่มครึ่งหน้าแข้ง โดยหวังว่าจะไม่ลึกไปมากกว่านี้


เพียงก้าวแรกก็สัมผัสได้ถึงความเย็น ช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าที่ต้องเดินเท้ามาเป็นเวลานาน สายน้ำไหลเอื่อยๆ กับหินกรวดก้อนกลมๆ ขนาดเขื่อง อาจทำให้เพลี่ยงพล้ำลงไปนอนแช่น้ำได้ทุกก้าวย่าง จึงต้องระวังทุกก้าวเดินไม่ให้ลื่นล้มไปพร้อมกับเครื่องไม้เครื่องมือที่ไม่ถูกโรคกับน้ำเป็นอย่างมาก 


สายน้ำที่ไหลผ่านเข้าไปในถ้ำระยะไม่น่าจะเกิน 50 เมตร จะเรียกว่าถ้ำก็ไม่เต็มปากเท่าไหร่ เพราะไม่มีลักษณะเป็นโพรงโดยสมบูรณ์ ส่วนที่ควรจะเป็นเพดานถ้ำนั้นยังไม่เชื่อมต่อกัน มีช่องว่างให้ดวงอาทิตย์ยามเที่ยงส่องแสงลอดลงได้ทั้งดวง ลักษณะเป็นช่องเขาที่มีลำห้วยทีซอแมไหลผ่าน ทำให้นึกถึงภาพผนังถ้ำสีแดงของ แกรนด์แคนยอน ในอเมริกา 


เพียงแต่ว่า ผนังที่นี่ไม่ได้เป็นสีส้มออกแดง และไม่ได้ถูกลมพัดพาทรายมากัดกร่อนจนเกือบเรียบเนียนเหมือนแกรนด์แคนยอน ผนังของช่องเขานี้มีลวดลายที่เกิดจากตะกอนหินปูนที่สะสมมานานนับร้อยๆ ปี เช่นเดียวกับการเกิดหินงอกหินย้อยภายในถ้ำนั้นเอง และยังคงมีโอกาสที่จะงอกเงยออกมาอย่างต่อเนื่อง เพราะยังห่างไกลจากฝีมือนักท่องเที่ยวมือบอน  ที่นี่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปีถ้าระดับน้ำไม่สูงและไหลแรงจนเกินไป


การเดินภายในช่องเขานั้นต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เพราะมีเศษดินตะกอนอยู่ที่ท้องน้ำจำนวนมาก เวลาก้าวเดินจึงเหมือนมีแรงดึงดูดไม่ให้ก้าวขาได้อย่างเสรี อาจเสียจังหวะขาพลิกจากการเหยียบก้อนหิน ทั้งนี้บางจุดก็ลึกกว่าบริเวณอื่นอยู่บ้าง


ด้วยลักษณะกายภาพที่เหมือนช่องเขา ทำให้อากาศถ่ายเทได้ดีกว่า ปลอดโปร่ง หายใจได้เต็มปอดกว่าหลายๆ ถ้ำ ด้วยแสงที่สามารถส่องลงมาถึงพื้นล่างได้โดยตรง สำหรับผู้ที่รักการถ่ายภาพ ที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สามารถถ่ายรูปได้อย่างสนุกสนาน งานนี้ก็ได้นางแบบตัวเล็กๆ อย่างน้องเมย์ มาช่วยโพสต์ท่าสร้างเรื่องราวในภาพให้สมกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ คราวหน้าถ้ามีโอกาสจะแวะมาที่นี่ในช่วงเวลาที่เช้ากว่านี้ ทิศทางของแสงอาจจะดูแปลกตากว่านี้ก็เป็นได้ นับว่าเป็นจุดท่องเที่ยวข้างถนนที่ไม่ธรรมดาอีกจุดหนึ่ง


ถ้ำแห่งนี้ ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายริมทางหลวงหมายเลข 105 กม.ที่ 150+500 แต่ยังไม่มีป้ายประชาสัมพันธ์จุดท่องเที่ยวที่ชัดเจน ฉะนั้นต้องสอบถามตำแหน่งที่แน่นอนจากชาวบ้านแถวนั้นหรือสอบถามกับทาง โทร.0857054459 (ดอย), 0892680116 (อดุลย์) โทรสาร 055-577437 หรือที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานตาก  โทร. 0-5551-4341 -3

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555

พระพุทธรูปทองคำ พันล้าน

พระมหามณฑปเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา


พระพุทธรูปทองคำ

จากหัวลำโพง มุ่งหน้าสู่ถนนสายทองคำ พระมหามณฑปเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา วัดไตรมิตรวิทยาราม ตั้งเด่นเป็นสง่าก่อนเข้าประตูเมืองจีนของเยาวราช  รูปแบบสถาปัตย์แบบไทยประยุกต์ 4 ชั้น  ยอดพระมหามณฑปเป็นรูปทรงจตุรมุขอย่างอาคารปราสาทแบบไทย ไม่มีช่อฟ้าใบระกา  ส่วนบนยอดสูงสุดของตัวปราสาทพระมหามณฑป คือ ฉัตรโลหะ ๗ ชั้น พื้นผิวส่วนใหญ่บุด้วยหินอ่อน   ทำให้ดูเรียบง่ายแต่ซ่อนไว้ซึ่งความแข็งแรง คงทนและสง่างาม  ซึ่งออกแบบโดย นาวาอากาศเอก อาวุธ เงินชูกลิ่น ศิลปินแห่งชาติ  ชั้นสูงสุด ในชั้นที่ 4  เป็นสถานที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปทองคำ ส่วนชั้น 2  ถูกจัดให้เป็นห้องแสดงความเป็นมาของชาวจีน ชั้น 3 เป็นประวัติการสร้างพระพุทธรูปทองคำ




พระพุทธรูปทองคำสุโขทัยไตรมิตร  มีเรื่องที่เกี่ยวข้องราวกับนิยาย ที่คงจะมีการพูดถึงไปอีกนานแสนนานทำให้นึกถึงเรื่องของ เจ้าเงาะกับนางรจนา ที่ซ่อนร่างรูปงามอยู่กายภายใน  เมื่อครั้งแรกที่มีการบันทึกเป็นหลักฐาน ก่อนนั้น พระพุทธรูปองค์นี้ ถูกโบกปูนลงรัก ให้มีรูปลักษณ์ภายนอกเป็นเพียงพระพุทธรูปปูนปั้นเหมือนพระพุทธรูปองค์ธรรมดาองค์หนึ่งเท่านั้น จากพระพุทธรูปกว่า 1,248 องค์ ที่ถูกอัญเชิญมาจากหัวเมืองต่างๆ สู่กรุงเทพฯ ในสมัยรัชกาลที่ 1 ถูกนำไปประดิษฐ์สถานยังโบสถ์วัดพระยาไกร แต่ก็ขาดผู้ดูแลจนกลายเป็นพื้นที่รกร้าง  ต่อมาบริษัท อีสต์เอเซียติก จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทต่างชาติ ขอเช่าที่จากรัฐบาลไทย เพื่อใช้ในการประกอบกิจการโรงเลื่อย  โบสถ์ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องทำงานโดยมีพระองค์ใหญ่เด่นอยู่กลางห้อง


ต่อมาที่สุดก็ถูกอัญเชิญมาไว้ที่ วัดสามจีน อันเป็นชื่อเดิมของ วัดไตรมิตรวิทยาราม ในขณะนั้นก็กำลังมีการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่  พระพุทธรูปโบกปูนอำพรางองค์นี้ จึงถูกตั้งไว้ท่ามกลางแดด ลมและฝน ณ บริเวณข้างๆ เจดีย์ของวัดที่ ซอมซ่อ ทั้งๆที่ผู้มาขอ และพยายามขนย้ายไปยังวัดต่างๆ หลายครั้ง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ จนเวลาล่วงเลยมาถึง 20 ปี วิหารจึงแล้วเสร็จการ อัญเชิญขึ้นไปประดิษฐานในวิหารหลังใหม่จึงเริ่มขึ้น ทำให้ปูนบริเวณหน้าอกที่ถูกพอกเอาไว้เริ่มมีรอยปริแตกจนสามารถเห็นถึงเนื้อแท้ที่ซ่อนอยู่ด้านใน เมื่อกะเทาะปูนที่หุ้มออกทั้งหมด ก็กลายเป็นพระพุทธรูปทองคำปางมารวิชัย ที่งดงามจับตาจับใจ  และสามารถ ถอดแยกเป็นส่วนๆ เพื่อง่ายต่อการขนย้ายอีกด้วย
เป็นความสามารถของฝีมือสกุลช่างขั้นสูงของสุโขทัย คาดกันว่า อายุกว่า 700 ปี และมีน้ำหนักถึง 5,500 กิโลกรัม เป็นข่าวใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ไทยเมื่อ ปี 2548 อยู่นาน ทันทีที่ประชาชนทราบข่าวก็หลั่งไหลมากราบไหว้และชมความงดงามกันอย่างเนืองแน่น  และได้ถูกบันทึกความเป็นที่สุด ลงในนังสือกินเนสบุ๊ค เมื่อปี 2533  ประมาณว่าถ้ามีการสร้างอีกองค์หนึ่งในขนาดที่เท่ากัน ต้องใช้เงินซื้อทองคำตามราคาปัจจุบัน  ณ  ต้นเดือน ธันวาคม 2554  ก็อย่างน้อยๆ ก็ ทะลุ 9 พันล้านบาท นี่ยังไม่รวมค่าดำเนินการในการสร้าง  เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ ทั้งหมดนี้ ถูกจัดแสดงไว้ภายในพิพิธภัณฑ์   ซึ่งอยู่ในพระมหามณฑปเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา


ส่วนในชั้นที่ 2 จัดเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับ ความเป็นมาของชาวจีนโพ้น ทะเล ที่เดินทางเข้ามาตั้งรกรากกันที่ เยาวราช มีการจำลองบรรยากาศของเรือสำเภา ที่บรรทุกสินค้า อย่างตุ๊กตาหินแกะสลัก เครื่องยาจีน เครื่องเคลือบดินเผา และอื่นๆ ที่นำเข้ามาแลกเปลี่ยนกับสินค้าของประเทศสยามในสมัยก่อนนั้น แรงงานที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเป็นจับกัง แบกข้าวแบกของให้กับพ่อค้าแม่ค้า วิถีชีวิต อาหารการกิน โดยใช้หุ่นปั้นเสมือนจริง อาคารบ้านเรือน ความบันเทิงและความเชื่อทางวัฒนธรรม และบุคคลสำคัญของย่านเยาวราช  ถูกรวมรวมไว้เป็นสัดส่วน   การจัดแสดงนิทรรศการทั้งชั้น 2 และ 3 นั้น มีคำอธิบายทั้ง ไทย จีน และ อังกฤษ รองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่มาสักการะพระพุทธรูปทองคำ

 ทุกๆ ที่ก้าวย่างไปใน กรุงเทพมหานคร เมืองเวนิสตะวันออก ที่เกือบจะก้าวตามเป็นเมืองน้ำตามเมืองเวนิสต้นฉบับ มีเรื่องราวให้น่าตื่นตาตื่นใจมากมาย เพียงแต่การจราจรที่ติดหนาแน่น ที่ส่วนหนึ่งมาจากการขาดสำนึกในเรื่องของวินัยจราจร ทำให้การเดินทางไปต่างจังหวัดดูน่าภิรมย์มากกว่า ถ้าแก้ปัญหาเรื่องการจราจรได้  และมีตัวเลือกในการเดินทางสาธารณะที่ครอบคลุม การเดินทางในเมืองหลวงแห่งนี้คงไม่น่าคิดหนักอีกต่อไป