วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557
ตามดูนกอพยพ ที่สวนหลวง ร9.
เสียงร้องของนกอพยพอย่าง นกคัดคูมรกต ดังสะท้านไปทั่วทั้งเวปบอร์ดดูนกทั้งหลาย จนทำให้คนบ้านไกลอย่าง นรินทร์ลูกเพ่ผมอยู่ไม่เป็นสุข ต้องออกจากดงสวนทุเรียนข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามา และชวนผมมาถึงที่สวนหลวง ร9. ที่เขตประเวศ ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพแหล่งผักผ่อนหย่อนใจของคนแถบนี้ ที่นี่ก็ยังเป็นแหล่งพักกายของนกออพยพหนีหนาว และเป็นที่อยู่ของนกประจำถิ่นอีกหลายชนิด
วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557
โมโกจู ครั้งเดียวมันส์ยังไม่พอ
Music : Other Side Of The World by KT Tunstall
: Evil by Jirapan Ansvananda and Sinnapa Sarasas
Location : Mogoju Peak - Mae Wong National Park kamphaeng Phet province Thailand
: Evil by Jirapan Ansvananda and Sinnapa Sarasas
Location : Mogoju Peak - Mae Wong National Park kamphaeng Phet province Thailand

เกือบจะสี่โมงเย็นแล้ว ผมยังคงเดินไม่ถึงจุดหมาย ค่อยๆ เงยหน้ามองดูเส้นทางข้างหน้าที่สูงและชัน ถึงอย่างไรก็ต้องกัดฟันเดินให้ถึงจุดพักกางเตนท์ อุณหภูมิที่ลดต่ำลงควงเอาม่านหมอกลอยละล่องอยู่ตรงหน้า กรรมละสิงานนี้ ฟ้าข้างบนคงปิด วันนี้คงอดเห็นพระอาทิตย์ตกแน่ๆ เสียงตัวเองบ่นพึมพำอยู่ในลำคอ ในขณะที่ต้องก้าวขาสู้กับการฉุดรั้งของแรงดึงดูดของโลกต่อไป บรรยากาศ ณ เวลานี้เหมาะสมกับชื่อของ "โมโกจู" เสียจริง

โมโกจู เป็นซื่อยอดเขาในภาษากะเหรี่ยงแปลว่า "เหมือนฝนจะตก " และเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดใน อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จ.กำแพงเพชร นักเดินททางรุ่นแล้วรุ่นเล่า ยกปริญญาดุษฎีบัณฑิตสาขาการเดินป่าระยะไกล ให้กับคนสามารถผ่านที่นี่ไปได้ เนื่องจากเส้นทางที่เดินนั้นมี โหด มันส์ ฮาให้ได้ลิ้มลอง ทั้งทางราบเดินตัวปลิว ทางเขาที่ลื่นลาดชัน มีทั้งตัวตัดจังหวะอย่างตัวคุ่น,เห็บลม และทาก ซึ่งแต่ละชนิดก็ให้สรรพโทษต่างกันไปแล้วแต่บุคคล ยิ่งถ้าผู้ที่มีอาการแพ้แมลงกัดต่อยดูด(เลือด)ด้วยแล้ว ต้องอาศัยเวลานานนับเดือนกว่ารอยแผลเหล่านี้จะหายไปอย่างสมบูรณ์ เรียกว่าฝากรอยไว้กันลืมเลยทีเดียว

เมื่อ 3 ปีก่อนก็ได้รับความอนุเคราะห์จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงาน จ.สุโขทัย เชิญชวนให้มาลองเดินป่าที่นี่สักครั้ง แต่เมื่อมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สองตามมา เวลาห่างกันขนาดนี้ สุขภาพก็มีถอยหลังเข้าคลองบ้าง แต่เมื่อใจยังโหยหาที่จะออกเดินทางอะไรก็คงหยุดยั้งไว้ไม่ได้ รีบเก็บข้าวเก็บของออกเดินทางสู่ยอดเขาแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง


จุดที่น่าสนใจแห่งหนึ่งของอุทยานฯ ก็คือ “ช่องเย็น” อันขึ้นชื่อเรื่องอากาศที่เย็นได้เย็นดีตลอดทั้งปี เพราะ ตรงนี้เป็นช่องลม ซึ่งทุกครั้งที่ลมเหนือพัดผ่านก็จะหอบเอาความหนาวเหน็บมาด้วยทุกครั้งไป และเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของนักนิยมปักษี มาตามหานกอพยพหลายชนิดที่แวะเวียนมาพักที่นี่ จากบริเวณจุดกางเต้นท์เดินไปอีกประมาณ 300 เมตรก็จะได้ไต่ขึ้นยอดภูสวรรค์ จุดชมวิวที่ดีสุดของที่นี่ การที่ได้ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้า เพื่อมาให้ทันดูพระอาทิตย์ตก ณ จุดนี้ เหมือนเป็นการตรวจสอบความพร้อมของร่างกายที่จะลุยต่อไปยังยอดเขาที่สูงกว่าในวันพรุ่งงนี้


5 วัน 4 คืน เป็นสูตรสำเร็จของการเดินขึ้นสู่ยอดเขาโมโกจู ครั้งนี้ได้เจ้าหน้าที่นำทางฝีมือดีอย่างพี่อาทิตย์และพี่ตอน เป็นผู้ดูแลปิดหัวปิดท้ายขบวนนักเดินทาง โดยวันแรกเริ่มจากการออกเดินทางในช่วงสายนิดๆ ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร จากที่ทำการอุทยานฯ ไปยังจุดพักคืนแรกที่แคมป์แม่กระสา สภาพเส้นทางเป็นถนนลูกรังไต่เขาที่ระดับความลาดเอียง 35-45 องศา ในช่วงแรกๆ เป็นจุดวัดกำลังใจ ของช่วงชั่วโมงแรกที่ท้าทายกล้ามเนื้อขาชื่อ "มอขี้แตก" และตรงจุดนี้เองเป็นจุดกลับใจ ถ้าคิดว่าไหวก็ไปต่อ ถ้าหากไม่ไหวจะกลับตอนนี้ยังสามารถกลับตัวกลับใจได้ แต่ก็มีน้อยถึงน้อยมากที่มีอาการถอดใจ

วันที่สองหลังจากจัดการกับอาหารมื้อเช้า เราจะดิ่งไปสู่แคมป์แม่เรวา ซึ่งมีระยะทางที่ต้องเดินสั้นลง แค่เพียง 4 กิโลเมตรเท่านั้น แม้ทางจะไม่ราบเรียบเหมือนวันที่ผ่านมา แต่เส้นทางนี้ดูน่าสนใจ เพราะเดินอยู่ท่ามกลางป่าที่ฟื้นตัวจากการถางป่าเพื่อทำไร่ข้าวโพดของชาวบ้านเมื่อราว 30 ปีก่อน วันนี้ยังมีไม้ใหญ่ที่ยังคงรอดพันจากการโค่นล้ม เติบโตสูงชลูดอยู่ท่ามกลางป่าไผ่ ลำน้ำแม่เรวาช่วงนี้กว้างขึ้น เป็นการทดสอบความสามารถการทรงตัวเมื่อต้องเดินข้ามสะพานไม่ไผ่ กับสะพานลำต้นไม้ใหญ่ขนาดสามคนโอบ เพียงช่วงเที่ยงก็มาถึงมาถึงที่พักของคืนนี้ แต่ภารกิจที่สำคัญหลังจากนี้ยังรออยู่



อุณหภูมิลดลงต่ำมาแตะที่ 12 องศา ส่งผลให้น้ำค้างมาเกาะเตนท์จนเปียกชุ่ม ทำให้คนนอนแปล อย่าง ครุฑ เจ้าหน้าที่จาก ททท.สุโขทัย มือวางอันดับหนึ่งเรื่องน้ำมันมวย ต้องตื่นมากลางดึก ขยับไม้ฟืนให้ไฟลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อช่วยสลายความเย็นยะเยือกที่แผ่ทะลุถุงนอนหนานุ่ม จนสะท้านไปถึงกระดูก การนอนแปลก็ดีไปอย่างไม่มีภาระเรื่องขนย้าย แต่เมื่อต้องเจออากาศเย็นจัด หรือฝนตก ก็เป็นเรื่องที่ต้องบวกลบคูณหารให้เหมาะ ว่าจะเลือกที่ซุกนอนแบบไหนกันดี

8 กิโลเมตรสุดท้ายเป็น8 กิโลเมตรที่ถือว่าเป็นที่สุดของการเดินทางในทริป วันนี้เป็นการเดินด้วยท่าทางฟรีสไตล์ ใครใคร่เดินๆ ใครใคร่ใส่เกียร์โฟร์ตะกุย ก็ตามสะดวก มีข้อแม้อย่างเดียวคือต้องไปให้ถึง โดยมีเวลาพระอาทิตย์ตกดินเป็นตัวเร่งฝีเท้าเพราะถ้าใช้เวลาอย่างฟุ่มเฟือยแวะพักหอบนานเกินงามละก้อคงอดชมพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ซึ่งเป็นการแสดงแสงบนแผ่นฟ้า ถึงแม้ว่าจะเป็นพระอาทิตย์ดวงเดียวกันก็ตาม แต่เครื่องเคียงโดยรอบนั้นเชิญชวนให้ผู้คนนับร้อยนับพัน ยอมกัดฟันเดินมาถึงที่นี่จนได้



ช่วงนี้คงเป็นช่วงขาขึ้นของชีวิต มีแต่เดินขึ้นเดินขึ้น จากระดับความสูงที่ 900 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางมุ่งสู่ที่ระดับความสูง 1964 เมตร วันนี้วันเดียวต้องไต่สันตามสันเขา 3 ลูก บ่ายกลางๆ เดิน น้องโตโตโร่ ตาล ซึ่งเดินมาถึงจุดพักคลอง 2 ก่อนแล้ว กำลังพยายามก่อกองไฟ เพื่อเล่นรอบกองไฟ กิจกรรมอย่างหนึ่งที่หาเล่นในเมืองได้ยากยิ่ง แต่ด้วยความชื้นของสายหมอกทำให้การก่อไฟให้ติดนั้นทำได้ยากก่อนจะต้องละทิ้งความตั้งใจ ตั้งหน้าตั้งตาเติมน้ำให้เต็มเพราะจุดนี้เป็นแหล่งเติมน้ำแหล่งสุดท้ายก่อนขึ้นที่พักในคืนที่ 3 นั่นแปลว่าคืนนี้เราต้องซักแห้ง แต่ด้วยความหนาวเย็นที่ต้องเจอ การไม่ต้องอาบน้ำเย็นเจี๊ยบก็เป็นเรื่องที่ควรละเว้นไปบ้างก็ได้



บ่าย3โมงกว่าแล้วเมฆหมอกยังบดบังแสงแดดไม่ให้ตกมาถึงพื้นดิน ความกังวลใจมีมากขึ้น เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่จะได้เห็นเพียงหินเรือใบซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญและสูงที่สุดที่อุตส่าห์บากบั่นมาถึงตั้งอยู่ท่ามกลางหมอกทึมทึบ นั่นจะเป็นความเสียดายขั้นสูงสุดหากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

จนในที่สุดก็ลากสังขาลอันอิดโรยมาถึงที่พักคืนนี้ พร้อมกับแสงอาทิตย์ ก็ทะลุเมฆหมอกฝนมาถึงยอดหญ้าจนได้ เสียงเพื่อนร่วมเดินทางทั้งหลายต่างดีใจกันอย่างออกนอกหน้า รีบปลดสัมภาระที่แบกอยู่บนหลังรีบวางลงกับพื้น เก็บภาพลำแสงเทพประทานเอาไว้ก่อนที่จะกลายเป็นแสงธรรมดาๆ สามัญๆ หมดความน่าสนใจ ลมแรงๆ ค่อยคลี่ม่านหมอกที่หุ้มห่อป่าผืนแห่งนี้ออกรับแสงแดดอุ่นๆ ลอยล่องขึ้นสู่จุดสูงชัดขึ้น

ฟ้าเปิดใจเปิดรอยยิ้มรับ หินเรือใบแลนด์มาร์คของยอดเขาแห่งนี้อยู่ตรงหน้าแล้ว จริงๆ แล้วมันก็เป็นเพียงก้อนหินธรรมดาก้อนหนึ่งหน้าตาเหมือนใบเรือ สูงราวๆ 2.5 เมตร แต่ทว่ามันดันมีปลายยอดที่แตะความสูง 1,964 เมตร จึงเป็นที่ทุกคนต้องไม่พลาดมาถ่ายรูปเพื่อเช็คอินให้คนอื่นอิจฉาไปตามๆ กัน ด้วยความช่วยเหลือของพี่อาทิตย์ที่ช่วยดึงแขนและแนะนำจุดที่จะวางเท้าที่ปลอดภัย จนสามารถขึ้นไปบนยอดหินก้อนนี้ได้บ้าง ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่กว่าครั้งที่แล้ว มองไปโดยรอบมีมวลหมอกจำนวนมหาศาลกำลังไหลเอื่อยไปยังพื้นที่ว่างอยู่เหนือยอดไม้ด้านล่าง ผืนป่าที่เห็นเบื้องหน้านั้นฝั่งหนึ่งเป็นเขตแม่วงก์ อีกฝั่งเป็นเขตรักษาพันธ์สัตว์อุ้มผาง โดยใช้สันเขาลูกที่เรายืนอยู่นี้เป็นเส้นแบ่งเขตการดูแล
พระทิตย์วันใหม่กำลังโผล่ขึ้นเหนือขอบฟ้า มวลหมู่ดวงดาวที่เคยจรัสแสงยามค่ำคืน ถูกแสงอาทิตย์ไล่ให้ไปพักผ่อน ชีวิตวันใหม่กำลังเริ่มดำเนินต่อไป เสียงบรรเลงเพลงป่าที่มีชะนีเป็นนักร้องนำ โดยมีนกน้อยใหญ่คอยสอดเสียงประสาน อยากจะนั่งฟังและค่อยๆ เก็บภาพตรงหน้าเอาไว้ในจินตภาพ ความสวยงามที่ค้นพบถูกเก็บเอาไว้ในภาพถ่าย เตรียมเผยแพร่ถึงยังอีกหลายคนที่ไม่มีโอกาสได้ขึ้นมาที่ตรงนี้ ต่อจากนี้ชีวิตขาลงต้องเริ่มขึ้น การอำลายอดเขาแห่งนี้ไปแค่กาย แต่ใจนั้นอิ่มเอม โมโกจูแค่ครั้งสองครั้งนั้นน้อยเกินไปเสียแล้ว



การขึ้นไปพิชิตยอดเขาโมโกจูนั้น ทางอุทยานฯได้จัดกิจกรรมเดินป่าระยะไกล 5 วัน 4 คืน ขึ้นในช่วงเดือน พ.ย.-ก.พ. ของทุกๆ ปี มีค่าบริการนำทางและค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ 8,000 บาทต่อกลุ่ม สมาชิกเดินทางตั้งแต่ 5 คนแต่ไม่เกิน12 คน ส่วนเรื่องตัวช่วยอย่างลูกหาบก็ 500 บาท/คน/วัน (สำหรับสัมภาระไม่เกิน 20 กิโลกรัม/คน) และต้องเตรียมอาหารเผื่อลูกหาบด้วย โดยผู้ที่สามารถพิชิตยอดเขาโมโกจูได้สำเร็จ จะได้รับประกาศนียบัตรจากทางอุทยานฯ ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ โทร. 0-5576-6024 หรือดูที่www.dnp.go.th หรือที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานสุโขทัย(รับผิดชอบพื้นที่ สุโขทัย,กำแพงเพชร) โทร. 0-5561-6228-9, 0-5561-6366
เผยแพร่ครั้งแรก นสพ. คมชัดลึก ฉบับวันอาทิตย์ที่5มกราคม2557
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)